โรคมือเท้าปากในเด็กเล็ก: การดูแลและป้องกันที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพ
โรคมือเท้าปาก (Hand, Foot, and Mouth Disease หรือ HFMD) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วโรคนี้จะไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่ก็อาจทำให้ลูกน้อยรู้สึกไม่สบายตัวและเบื่ออาหารได้ การดูแลที่บ้านอย่างถูกต้องและการป้องกันที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้ลูกน้อยผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
การดูแลที่บ้านเมื่อลูกน้อยเป็นโรคมือเท้าปาก
- ให้ลูกดื่มน้ำมากๆ: เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อเด็กมีไข้หรือเบื่ออาหาร เลือกเครื่องดื่มที่ลูกชอบ เช่น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่สำหรับเด็ก
- ให้รับประทานอาหารอ่อนๆ: เน้นอาหารที่ย่อยง่าย ไม่ระคายเคืองแผลในปาก เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป ผลไม้บด หรือไอศกรีม หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ด หรือแข็ง ที่อาจทำให้ลูกเจ็บปากมากขึ้น
- เช็ดตัวลดไข้: ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวลูกเบาๆ เพื่อช่วยลดไข้ หากไข้สูงมากหรือลูกไม่สบายตัวมาก อาจใช้ยาลดไข้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
- บรรเทาอาการเจ็บปาก: การมีแผลในช่องปากและลำคอทำให้เด็กๆ เจ็บปวด ทานอาหารและดื่มน้ำได้ยาก ส่งผลต่อภาวะโภชนาการและทำให้เด็กๆ อ่อนเพลียและงอแงได้ง่าย Eureko Mouth Spray เป็นสเปรย์พ่นปากที่ออกแบบมาเพื่อเคลือบและปกป้องแผลในช่องปาก ด้วยส่วนประกอบหลักคือ โพลีไวนิลไพโรลิโดน (Polyvinylpyrrolidone) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ที่สามารถละลายน้ำได้และมีคุณสมบัติในการดูดน้ำ จึงช่วยสร้างฟิล์มเคลือบบนผิวเนื้อเยื่อได้อย่างดี ลดอาการเจ็บปวดได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ช่วยให้ลูกรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ง่ายขึ้น Eureko Mouth Spray ปราศจากยาชา ยาปฏิชีวนะ สเตียรอยด์ และแอลกอฮอล์ จึงปลอดภัยแม้กระทั่งกับเด็กทารก (ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป) และยังไม่รบกวนการรับรสอีกด้วย
- รักษาความสะอาด: ทำความสะอาดมือลูกบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ หลีกเลี่ยงการให้ลูกใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ช้อน ส้อม ผ้าเช็ดตัว ของเล่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
- ให้ลูกพักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น จัดห้องนอนให้เงียบสงบ อากาศถ่ายเทสะดวก และมีอุณหภูมิที่เหมาะสม
การป้องกันโรคมือเท้าปาก
- ล้างมือบ่อยๆ: สอนลูกให้ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ห้องน้ำ และหลังจากสัมผัสสิ่งของสาธารณะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: หากมีคนในบ้านป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก ควรแยกของใช้ส่วนตัว และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- ทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิวต่างๆ: เชื้อไวรัสสามารถอยู่บนพื้นผิวได้นานหลายวัน จึงควรทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิวที่ลูกสัมผัสบ่อยๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยด้วย Immunex FOS: Immunex FOS เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของ FOS (Fructooligosaccharides) สังกะสี และซีลีเนียม ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและระบบทางเดินอาหาร FOS เป็นพรีไบโอติกที่พบได้ในนมแม่ มีส่วนช่วยในการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดีในลำไส้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว macrophage และ dendrite cell ทำให้เป็นตัวเต็มวัยและทำหน้าที่ปกป้องร่างกายตามธรรมชาติ นอกจากนี้ สังกะสีและซีลีเนียมยังมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
เมื่อไหร่ควรพาลูกไปพบแพทย์?
แม้ว่าโรคมือเท้าปากส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่ในบางกรณีอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากลูกน้อยของคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที:
- ไข้สูง (เกิน 39 องศาเซลเซียส หรือไข้ไม่ลดลงภายใน 2-3 วัน)
- ซึม อ่อนเพลีย
- อาเจียนบ่อย
- ปวดศีรษะรุนแรง
- หายใจลำบาก
- ชัก
- มือเท้าอ่อนแรง
- ขาดน้ำ
สรุป
การดูแลลูกน้อยที่ป่วยเป็นโรคมือเท้าปากที่บ้านอย่างถูกต้องและการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณฟื้นตัวจากโรคได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น อย่าลืมให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และใช้ Eureko Mouth Spray เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดในช่องปาก ช่วยให้ลูกรับประทานอาหารได้มากขึ้น ไม่งอแง และฟื้นตัวได้เร็ว นอกจากนี้ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วย Immunex FOS ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ลูกน้อยของคุณกลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น
สั่งซื้อ Eureko Mouth Spray, Immunex FOS หรือปรึกษาเภสัชกร ได้ที่ Line @genkihouses
อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับสุขภาพเด็กได้ที่:
- www.genkihouses.com
- www.มือเท้าปาก.com
ดาวน์โหลด E-Book ฟรี! คู่มือดูแลสุขภาพลูกน้อยเมื่อป่วยเป็นโรคมือเท้าปากหรือโรคเฮอร์แปงไจน่า
คำเตือน: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพโดยตรง